วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มะละกอ

กลุ่มยากัน หรือ แก้เลือดออกตามไรฟัน
มะละกอ
 
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Carica papaya  L.
ชื่อสามัญ  Papaya, Pawpaw, Tree melon
วงศ์  Caricaceae
ชื่ออื่น :  มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ) หมักหุ่ง (ลาว,นครราชสีมา,เลย) ลอกอ (ภาคใต้) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลออกขาว ลำต้นตรง ไม่มีแก่น แตกกิ่งก้านน้อย มีรอยแผลใบชัดเจน มียางขาวข้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรอบต้นหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปฝ่ามือ ขนาด 80-120 ซม. ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึกถึงแกนก้าน ก้านใบเป็นหลอด กลมกลวงยาว 25-100 ซม. ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อยาวห้อยลง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ดอกเพศเมียสีขาว ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกมีขนาดใหญ่ กว่าดอกเพศผู้ ผล รูปกระสวย ผิวเรียบ เปลือกบาง มียางสีขาว ผลสดสีเขียวเข้ม พอสุกเปลี่ยนเป็นสีส้ม รับประทานได้ มีเมล็ดมาก เมล็ดกลม สีดำ มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวใส
ส่วนที่ใช้
: ผลสุก ผลดิบ ยางจากผลหรือจากก้านใบ ราก
สรรพคุณ :
  • ผลสุก - เป็นยากัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
  • ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อย ฆ่าพยาธิ
  • ราก - ขับปัสสาวะ
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
  • เป็นยาระบาย ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
  • เป็นยาช่วยย่อย ก. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร
    ข. ยางจากผล หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 เกรน หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อยแท้ๆ ( Papain )
  • เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะละกอสุกไม่จำกัด รับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซี
  • ราก เป็นยาขับปัสสาวะ
ข้อควรระวัง :
          สำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวก carotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลือง
สารเคมี :
  • ในผลมะละกอ ประกอบด้วย โปรตีน 0.5 % คาร์โบไฮเดรต 9.5 % แคลเซี่ยม 0.01 % ฟอสฟอรัส 0.01 % เหล็ก 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม และสารอื่นๆ อีกเล็กน้อย
  • ในส่วนของเนื้อมะละกอ จะมี sucrose, invert sugar papain, malic acid และเกลือของ Tartaric acid, citric acid และ pectin จำนวนมาก (มีทั้งในผลดิบด้วย) และ pigment พวก carotenoid และวิตามินต่างๆ
  • ยางมะละกอ มี enzyme ชื่อ papain ซึ่ง papain เป็นชื่อรวมสำหรับเรียกเอนไซม์จากน้ำยางมะละกอ ซึ่งประกอบด้วย papain 10% chymopapain 45% lysozyme 20%




1. การเตรียมเมล็ดพันธุ์
          - ต้นมะละกอมี 3 เพศคือ ต้นตัวเมียผลจะกลมป้อม, ต้นกะเทยผลจะยาว และต้นตัวผู้มีแต่ดอกเป็นสายยาวไม่มีผล การเลือกพันธุ์ให้คัดเอาแต่เมล็ดจากต้นกะเทยที่ให้ผลผลิตดี ลักษณะดี คัดเอาผลที่เริ่มสุก แก้มแดง แล้วบ่มให้สุกโดยการห่อกระดาษหนังสือพิมพ์จึงผ่าเอาเมล็ดมาล้างเมือกหุ้มเมล็ดออก ตากแห้งเก็บไว้ใช้ทำพันธุ์ ข้อมูลจากเกษตรกรชาวสวนบอกว่าเมล็ดจากช่วงกลางผลจะเป็นกะเทยมากที่สุด

2. การเพาะกล้า
          - การเพาะกล้า ให้แช่เมล็ดแห้งในน้ำ 2 คืน แล้วนำไปเพาะในถุงเพาะกล้า หรือแปลงเพาะ
          - ดินปลูก ใช้ดินร่วนหรือดินเหนียว(ดินทาม หรือ ดินริมแม่น้ำ หรือดินจอมปลวก) 3 ส่วน ปุ๋ยคอกเก่าหรือขี้ไก่ 1 ส่วน และแกลบเผา 3 ส่วน ใช้ถุงขนาด 4 × 6 นิ้ว
          - เพาะเมล็ดที่แช่น้ำแล้ว ลงในถุงๆละ 3-4 เมล็ด 7 วันจะเริ่มงอก เมื่ออายุ 30 วันให้ถอนเหลือ 1 ต้น  อายุ 60 วันนำไปปลูกได้ดีที่สุด ควรเพาะกล้าที่ร่มพลางแสง 50-70% รดน้ำสม่ำเสมอ อย่าให้แฉะเกินไป

3. การปลูก
          - ระยะปลูก 2.50 × 2.50 ม. 1 ไร่ใช้กล้าประมาณ 256 ต้น หรือ 3.0x3.0 ม. หรือ 2.0X4.0ม.
          - ขุดหลุมปลูก ไม่ต้องลึกมากเพาะมะละกอรากตื้น (ประมาณ 50 ซม.) รองก้นหลุม ด้วยปุ๋ยคอก  1 ปุ้งกี๋ ปุ๋ยสูตร 15-15-15  1 ช้อนแกง มะละกอจะชอบขี้ไก่ หรือปุ๋ยคอกเก่า
          - ให้ปุ๋ย 15-15-15 เดือนละครั้งๆละ ประมาณ 1-2 ช้อนแกง ร่วมกับปุ๋ยคอกตามสมควร หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ 4-5 กำมือ เริ่มออกดอก เมื่อครบอายุ 3 เดือนใช้ ปุ๋ยตัวท้ายสูง เช่น 13-13-21 เดือนละครั้งเพื่อเพิ่มการติดผลและเพิ่มความหวาน การใส่ปุ๋ยเคมีอย่าใส่ใกล้ต้น ใส่เมื่อดินมีความชื้นหรือรดน้ำตาม
          - อายุ 6-8 เดือน เก็บผลผลิตได้ขึ้นกับการดูแลรักษา การให้น้ำที่สม่ำเสมอ อายุการเก็บผลผลิต ถึง 2 ปี จึงปลูกใหม่ ควรปลูกในพื้นที่ใหม่ ไม่ซ้ำที่เดิมเพื่อลดปัญหาโรคและแมลง
          - การให้น้ำควรให้น้ำแบบพ่นฝอย(สปริงเกลอร์) วันละ 1 ชม.
          - การคลุมดินด้วยฟางจะช่วยรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืชได้เป็นอย่างดี
          - การใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกจะให้ผลดีที่สุด ใส่ปุ๋ยแล้วต้อรดน้ำเสมอ

4. การเก็บเกี่ยว
          เก็บผลดิบควรแยกขนาด แล้วบรรจุถุงพลาสติกใสเบอร์ 18  หากผลสุกให้เก็บเมื่อแก้มผลเป็นสีส้มเล็กน้อยแล้วห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ระวังผิวต้องสวย คัดขนาดส่งจำหน่ายต่อไป

5. การผลิตมะละกออินทรีย์
          ให้ใช้ปุ๋ยคอกโดยเฉพาะขี้วัว ขี้ควาย ห้ามใช้ขี้ไก่ฟาร์มเพราะมียาปฏิชีวนะตกค้างมาก(ขี้ไก่บ้านใช้ได้) หรือใช้ปุ๋ยชีวภาพ(ไร่ละ 200-300 กก.) น้ำหมักชีวภาพ หรือ อีเอ็ม (ฉีดพ่นทุกๆ 10 วัน)โดยใช้ปุ๋ยคอกประมาณไร่ละ 1-2 ตัน การเร่งความหวานให้ใช้มูลค้างคาวต้นละ 1-2 กำมือเริ่มให้ในระยะออกดอก และให้เดือนละครั้ง การคลุมแปลงปลูกด้วยฟางจะมีความสำคัญมากในการปลูกแบบอินทรีย์



มะละกอ (Papaya) เป็นผลไม้ไทยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์ของมะละกอมีมากมายไม่ว่าจะนำมาทำเป็นอาหารเช่น แกงส้มมะละกอ ทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรเป็นชามะละกอ หรือแม้แต่นำผลสุกมาปอกกินเล่นก็ยังมีประโยชน์ช่วยให้ขับถ่ายง่ายป้องกันท้องผูก อีกทั้งมะละกอเป็นพืชที่ปลูกง่ายการปลูกมะละกอไม่ต้องการการดูแลมากอาศัยพื้นที่ว่างบริเวณรั้วบ้านก็ใช้เป็นที่ปลูกมะละกอได้แล้วเพียงแต่ต้องคอยระวังอย่าให้มีน้ำท่วมในบริเวณที่ปลูกมะละกอก็พอ ยอมเสียพื้นที่ในการปลูกมะละกอไว้แถวบริเวณบ้านสัก 1-2 ต้นรับรองว่าประโยชน์ของมะละกอที่ได้รับจะคุ้มเกินคุ้มอย่างแน่นอน

มะละกอ (Papaya) เป็นพืชยืนต้น สูงประมาณ 3-4 เมตร ลำต้นตั้งตรง เนื้อลำต้นจะอ่อน ลักษณะผลของมะละกออาจมีรูปร่างทั้งเป็นลูกกลมหรือทรงยาวรีแล้วแต่พันธุ์ของมะละกอ มะละกอที่ยังดิบอยู่เปลือกนอกจะมีสีเขียวพอผลมะละกอสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกส้ม มะละกอเป็นพืชที่ไม่ชอบให้มีน้ำท่วมขังเพราะจะทำให้รากเน่าและตายได้ มะละกอเป็นพืชที่นิยมปลูกในบริเวณรั้วบ้านวิธีการปลูกมะละกอทำได้ง่ายเพราะมะละกอเป็นพืชที่ไม่ต้องการการดูแลมากนักและทนต่อความแห้งแล้งได้ดีพอสมควร หากมีต้นมะละกอในบริเวณบ้านระวังอย่าให้น้ำท่วมก็พอ ประโยชน์ของมะละกอสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วนของต้นเลยทีเดียว

ประโยชน์ของมะละกอ เริ่มจากส่วนที่เป็นใบและยอดของมะละกอนำมาใช้ปรุงอาหารได้ ส่วนของลำต้นมะละกอภายในจะเป็นเนื้อสีขาวครีมลักษณะเนื้อจะอ่อนนุ่มคล้ายกับหัวผักกาดจีนที่เราสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้เหมือนกันจะเป็นการดองเค็มหรือตากแห้งเก็บไว้กินก็ได้ ประโยชน์ของมะละกอเมื่อใช้ปรุงเป็นอาหารจะมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารที่สำคัญหลายอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี (Vitamin A B C) ธาตุเหล็กและแคลเซียม สารอาหารเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น

ประโยชน์ของมะละกอดิบ ผลดิบของมะละกอที่มีเปลือกสีเขียวนั้นภายในจะมียางสีขาวข้นเรียกกันว่ายางมะละกอ สรรพคุณของยางมะละกอใช้หมักเนื้อทำให้เนื้อนุ่มและเร่งให้เปื่อยเร็วขึ้นเมื่อต้มและหากนำยางมะละกอไปสกัดเป็นเอนไซม์ที่มีชื่อว่าปาเปอีน (Papain Enzyme) สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้อีกด้วย  ประโยชน์ของมะละกอดิบยังใช้เป็นยาสมุนไพร (Herb) เป็นยาระบายอ่อนๆช่วยในการขับปัสสาวะหรือจะนำผลมะละกอดิบไปทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรคือ ชามะละกอ ที่มีสรรพคุณในการล้างลำไส้จากคราบไขมันที่เกาะติดอยู่ที่เกิดจากการกินอาหารที่ผัดด้วยน้ำมันเป็นประจำ เมื่อชามะละกอช่วยล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ออกไปแล้วจะทำให้ระบบดูดซึมสารอาหารทำงานได้เต็มที่

ประโยชน์ของมะละกอที่เห็นอยู่ทุกวันคือการนำไปปรุงเป็นอาหารคือ ส้มตำ (Papaya Salad)  ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านทางภาคอีสานและเป็นที่รู้จักกันดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  ส่วนผลมะละกอสุกสามารถปอกกินเป็นผลไม้ได้เลย ประโยชน์ของมะละกอที่เป็นผลสุกคือช่วยบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหารเป็นยาระบายอ่อนๆทำให้ระบบขับถ่ายดีไม่มีอาการท้องผูก ผลมะละกอสุกยังสามารถนำไปทำเป็น น้ำมะละกอ ได้อีกเอนไซม์ปาเปอีน (Papain Enzyme) ที่อยู่ในผลมะละกอจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ประโยชน์ของมะละกอสุกยังมีสารอาหารที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) คือเบต้าแคโรทีนที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอยซึ่งเป็นประโยชน์ของมะละกอในด้านความสวยความงามนั่นเอง

2 ความคิดเห็น: